วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

8 โรคร้ายของนักศึกษา


โรคที่หนึ่ง นอนตื่นสาย
อาการ
เข้าห้องเรียนสายประจำ หรือไม่เข้าเลย
วิธีป้องกันรักษา เข้านอนให้เร็วกว่าเดิม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเพียงพอ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในที่ที่ต้องเดินไปปิด ห้ามเอาไว้ใกล้เตียง อย่าคุยกับเพื่อนจนดึก เพราะโรคนี้สามารถติดต่อทางการพูดคุยจนลืมเวลานอน

โรคที่สอง ง่วงนอนในห้องเรียน
อาการ
เหม่อลอย หรือแอบหลับในห้องเรียน (เป็นประจำ) มักพบในรายวิชาที่เรียน 8 โมงเช้าหรือหลังอาหารกลางวัน
วิธีป้องกันรักษา สาเหตุมีหลายประการ เช่น นอนไม่พอ วิธีแก้ไข นอนให้พอซะทุกอย่างจะดีเอง ฟังอาจารย์พูดแล้วง่วง วิธีแก้ไข ต้องคิดตามและพยายามจดจะทำให้ไม่ง่วงอีกต่อไป แถมเข้าใจมากขึ้นอีกต่างหาก ถ้ายังง่วงอยู่ให้เพื่อนข้าง ๆ หยิกแรง ๆ จะได้ตื่น

โรคที่สาม ผีดิบดูดเลือด
อาการ
มักออกอาการช่วงใกล้สอบ ขอบตาจะเขียวคล้ำ มองแบบไร้จุดมุ่งหมาย เหม่อลอยเหมือนจะเดินทะลุกำแพงได้
วิธีป้องกันรักษา ต้องจัดตารางเวลาให้ดี อ่านหนังสือและทบทวนทุกวัน ทำ short note เวลาอ่านหนังสือ เพื่อจะได้อ่านเพียงแค่ไม่กี่แผ่นก่อนเข้าห้องสอบ

โรคที่สี่ ไม่สบายช่วงใกล้สอบ
อาการ ปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง เป็นหวัด
วิธีป้องกันรักษา โดย มากสาเหตุมาจากความเครียด วิธีแก้ไขพยายามอย่าเครียด ให้ออกกำลังให้สม่ำเสมอ อย่ากดดันตัวเองเกินไปในการเรียน พยายามทำให้ดีที่สุด

โรคที่ห้า WWW
อาการ ไม่ ใช่อาการที่ติด internet จนไม่เป็นอันทำอะไร แต่เป็นอาการที่ลงวิชาเดิมซ้ำแล้ว ซ้ำอีกเป็นจำนวน 3 ครั้งและทุกครั้งก็ขอถอนรายวิชาก่อนที่จะสอบปลายภาค บางคนอาการหนักหน่อยก็จะได้ Women WWW (WWWW) มักพบในกลุ่มนักศึกษาที่ลงเรียน Calculus หรือวิชาคำนวณอื่น ๆ
วิธีป้องกันรักษา ทำ แบบฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นวิชาคำนวณ ต่อให้เรียนหนักอย่างไรแต่ไม่ฝึกทำแบบฝึกหัดก็คงจะผ่านวิชานี้ลำบาก และอย่าท้อ หรือมีอคติกับวิชาก่อนที่จะได้เรียน

โรคที่หก Pro ต่ำ
อาการ จะ พบโรคนี้ประมาณเทอมสามเป็นต้นไปของนักศึกษาปี 1 และทุกเทอมของนักศึกษาปีอื่น ๆ อาการคือ สำหรับนักศึกษาปี 1 GPAX. ของทั้งสามเทอมต่ำกว่า 1.80 หรือสำหรับนักศึกษาปีอื่น ๆ คือเป็นเทอมแรกที่มี GPAX. ต่ำกว่า 1.80
วิธีป้องกันรักษา ถ้าติด โรคนี้แล้วต้องรักษาโดยการวางแผนการลงทะเบียนใหม่ เลือกลงวิชาที่ถนัดและต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องได้ A ไม่ใช่ขอแค่ผ่าน ถ้ายังไม่ติดโรคนี้วิธีป้องกันคือ ตั้งใจเรียน และต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่า A เท่านั้นที่เราต้องการเพราะถ้าพลาดได้ B, C ก็ยังไม่เลวร้าย แต่ถ้าคิดแค่ว่าขอแค่ผ่าน (ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าแค่ผ่านคือ ไม่ F เป็นการเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงนะคะ) ขอแค่ผ่าน คือ ต้องได้อย่างต่ำ C ทุกวิชา เพราะนั้นคือ GPAX. = 2.00

โรคที่เจ็ด Pro สูง
อาการ คล้าย ๆ โรค Pro ต่ำ แต่ดีกว่าหน่อยตรงที่ GPAX. ต่ำกว่า 2.00 แต่มากว่า 1.80
วิธีป้องกันรักษา เช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ

โรคที่แปด รีไทร์
อาการ
พบโรคนี้ได้ทุกเทอม อาการคือ GPAX. ต่ำกว่า 1.00 (สำหรับนักศึกษาปี 1 ในเทอมที่ 1 และ 2) 1.50 (สำหรับนักศึกษาปี 1 ในเทอมที่ 3) 1.80 แต่มากกว่า 1.50 สองภาคเรียนต่อเนื่องกัน (สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี) 2.00 สี่ภาคเรียนต่อเนื่องกัน (สำหรับนักศึกษาทุกชั้นปี)
วิธีป้องกันรักษา วิธีป้องกันเช่นเดียวกับโรค Pro ต่ำ วิธีรักษาเอนท์ใหม่เท่านั้น!!!!

ที่มา http://sakid.com/2009/12/18/19715/

วิธีเปลี่ยนอารมณ์เสีย ให้อารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว



เขียนบันทึก:เพราะการเขียนเรื่องที่ทำให้คุณอารมณ์บูดลงในสมุดไดอารี่ หรือบนบล็อกส่วนตัวของคุณ เป็นอีกหนึ่งวิธีระบายความโกรธที่ดีทีเดียว ที่สำคัญมันสามารถช่วยได้โดยไม่ต้องรบกวนเพื่อน ญาติ ให้มารับฟังปัญหาของคุณอีกด้วย
คิดถึงฉากภาพยนตร์:ละคร หรือเรื่องราวน่าประทับใจแทนเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์ไม่ดี หรือจะฟังเพลงที่ชอบก็ได้ อาจจะช่วยได้อีกทาง
เข้าหาธรรมชาติ: อาจ จะออกไปอยู่ในสวน ชมต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรือออกไปเดินตากแดดอุ่น ๆ เดินชมแสงจันทร์ หรือหมู่ดาวยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งเขยิบตัวไปชิดหน้าต่างที่เปิดรับลมจากภายนอกก็ยังได้ ธรรมชาติจะช่วยให้จิตใจสงบ และผ่อนคลายลงจนทำให้คลายอารมณ์เสียได้
ลองก้มตัวลงไปเอามือแตะหัวแม่เท้า: ค้างไว้สัก 1 นาที จาก นั้นค่อย ๆ ยกตัวกลับขึ้นมา จะรู้สึกว่า อารมณ์ดีขึ้น เป็นเพราะร่างกายได้เหยียดยืด ความตึงเครียดตามอวัยวะต่าง ๆ จะหายไป ทำให้อารมณ์สดใสขึ้นได้
แปะภาพที่ให้ความรู้สึกดี ๆ ไว้บนประตูตู้เย็น: อาจจะเป็นภาพประทับใจของครอบครัวก็ได้ค่ะ อาจช่วยให้เราระลึกได้ถึงวันเวลาดี ๆ เพื่อให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้เข้ามาช่วยขับอารมณ์เสีย ออกไปได้
วางแผนลาพักร้อน: เหนื่อยนักก็พักเสียเลย กางปฏิทินหาเวลาเหมาะ ๆ วางแผนลาพักร้อนไปเที่ยวกับครอบครัว และหากมีปฏิทิน ก็วงวันที่ด้วยปากกาสีสันสดใส ให้ตัวโต ๆ เวลาเดินผ่านจะได้นึกถึงช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึง จิตใจจะได้ผ่องใส
ลองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง:ทำดีให้คนอื่น ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น นำหนังสือนิทานดี ๆ มาแบ่งปันให้เด็กๆ ในซอยฟัง หรืออาจจะซื้อกาแฟอร่อย ๆ มาฝากเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงาน หรือคลุกข้าวเผื่อเจ้าตูบหน้าปากซอยก็ได้ อิ่มบุญขนาดนี้ เดี่ยวอารมณ์ก็สดใสขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ผลไม้ไทยมีประโยชน์

ผักผลไม้ 7 ชนิดที่มีผลต่อสุขภาพของผู้หญิงโดยตรง
โดย : First Magazine

คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป..มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล ‘โดยตรง’ กับสุขภาพของ ‘ผู้หญิง’.

ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

กล้วย : ในกล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง ‘คอลลาเจน’ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ ‘เพคติน’ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว